fbpx

การรับมือกับเชื้อรา ที่มักจะเกิดขึ้นในของแบรนด์เนม | จิวเวล คาเฟ่ ไทยแลนด์

อัพเดทวันที่: November 22, 2024

การรับมือกับเชื้อรา ที่มักจะเกิดขึ้นในของแบรนด์เนม | จิวเวล คาเฟ่ ไทยแลนด์

เมื่อเราซื้อสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ เช่น Louis Vuitton เรามักถูกถามว่า “หากตัวกระเป๋ามีราขึ้นอยู่บ้างในบางส่วน จะสามารถรับซื้อได้ไหม?” อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นกรณีที่ค่อนข้างเฉพาะ เราจึงต้องตรวจสอบสภาพจริง ถ้าหากราขึ้นมากเกินไปก็อาจจะไม่สามารถรับซื้อได้ ซึ่งเมื่อเราเช็คสินค้าที่มีราขึ้น จะพบว่าสินค้าที่ใช้มานานแล้วและมีสภาพเก่ามากๆ จะมีราขึ้นน้อยกว่าที่คาดไว้ ตรงกันข้ามกับสินค้าที่ไม่ค่อยได้ใช้ เช่น Louis Vuitton ซึ่งไม่น้อยเลยที่คนจะรู้สึกเสียดาย ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้แท้ๆ แต่กลับมีราขึ้น สำหรับสินค้าหนัง ในสภาพอากาศของญี่ปุ่น มีความเสี่ยงที่จะเกิดราได้ง่าย หากไม่ระมัดระวัง จึงจำเป็นต้องมีการป้องกันโดยเฉพาะ เราจะมาพูดถึงสาเหตุของการเกิดราในสินค้าหนังแบรนด์ต่าง ๆ และวิธีการป้องกันรากันขึ้นกันค่ะ
สารบัญ
  1. สัญญาณก่อนจะเกิดรา
    1. แบรนด์อะไร หรือส่วนไหนของกระเป๋าที่มีแนวโน้มจะเกิดราได้ง่าย
    2. สาเหตุของการเกิดรา
    3. กลิ่นเป็นสัญญาณของการเกิดรา
  2. 3 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรา
    1. การเก็บรักษา และวิธีการจัดเก็บเป็นจุดสำคัญ
    2. การรักษาหลังการใช้งาน
    3. การป้องกันราที่เกิดขึ้นด้านในของผลิตภัณฑ์หนัง

สัญญาณก่อนจะเกิดรา

แบรนด์อะไร หรือส่วนไหนของกระเป๋าที่มีแนวโน้มจะเกิดราได้ง่าย

ก่อนอื่น สิ่งที่รามักจะขึ้นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนัง (บางครั้งอาจเห็นราขึ้นบนพื้นผิวของผ้าหรือสิ่งทอ แต่จะเกิดขึ้นได้ยาก ยกเว้นในกรณีที่มีการดูแลรักษาที่ไม่ดี และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่มาก ๆ) นอกจากนี้ แม้ผลิตภัณฑ์หนัง ก็ยังมี “หนังที่เกิดรายาก” และ “หนังที่เกิดราง่าย”ด้วย อย่างเช่น หนังนูบัค (ที่ใช้ในส่วนที่จับและฐานของกระเป๋า Louis Vuitton) เป็นส่วนที่เกิดราง่าย ดังนั้นจึงมักเกิดราขึ้นบ่อย นอกจากนี้ในส่วนบริเวณหนังรอบๆ หมุด หรือกระดุม ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดราได้ด้ว

อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดรา?

ในการป้องกันไม่ให้แบรนด์สินค้าขึ้นรา จำเป็นต้องรู้ว่า ” อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดรา” สิ่งที่ทราบกันดีอคือราเกิดจาก “เชื้อรา” ที่เจริญเติบโตขึ้น และปัจจัยที่ทำให้เชื้อรานี้เจริญเติบโตได้ คือ “ความชื้น” ดังนั้นจึงต้องใส่ใจในเรื่อง “เชื้อรา (สิ่งสกปรก)” และ “ความชื้น” ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ ใน 2 ปัจจัยนี้ แม้ว่าเชื้อราจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด จึงแนะนำให้มุ่งเน้นไปที่การจัดการเรื่องความชื้น และควรระมัดระวังเป็นพิเศษในฤดูฝน ซึ่งสภาพอากาศในญี่ปุ่นช่วงฤดูนี้จะมีความชื้นสูง และจะทำให้เกิดราได้มากที่สุดนั่นเอง จากประสบการณ์ที่พบเจอมา แบรนด์ที่พบว่ามีราขึ้นมากที่สุดคือ Louis Vuitton (ซึ่งอาจเป็นเพราะปริมาณการผลิตมากด้วยส่วนหนึ่ง) Louis Vuitton เป็นแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ทนทานต่อน้ำ และความชื้นในญี่ปุ่นหรือในประเทศแถบร้อนชื้น เมื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำฝนประจำปี • ญี่ปุ่น: 1,668 มม. (ในปี 2017) • ฝรั่งเศส: 867 มม. (ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง) (เฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 1,200 มม. จึงเห็นได้ว่าญี่ปุ่นมีฝนมากน้อยเท่าไหร่) Louis Vuitton มักใช้หนังนูบัคในส่วนที่จับ และฐานกระเป๋า ซึ่งเนื้อสัมผัสนิ่มก็จริง แต่ไม่ทนต่อรา นี่อาจเป็นผลจากความแตกต่างทางภูมิอากาศด้วยเช่นกัน ในทางกลับกันนั้น สินค้าจากแบรนด์ในประเทศแทบไม่พบราขึ้นเลย แบรนด์ในประเทศน่าจะออกแบบมา โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของญี่ปุ่น

กลิ่นเป็นสัญญาณของการเกิดรา

อาจจะเป็นการยกตัวอย่างที่ทำให้หลายๆคนรู้สึกไม่สบายใจ…แต่คุณเคยมีประสบการณ์ที่ลืมนำผ้าที่ซักเสร็จแล้วออกจากเครื่องซักผ้ากันบ้างไหม? ถ้าเคยละก็ คุณจะพบว่าเมื่อทิ้งผ้าไว้ในตู้นานๆ พอเอาออกมาทีหลังจะพบว่ามีกลิ่นแปลก ๆ ติดอยู่ที่เสื้อผ้าของคุณ มีคนรู้จักของฉันเคยบอกว่า “เสื้อเชิ้ตมีกลิ่นเหมือนนัตโตะ” และสาเหตุของกลิ่นนั้นก็คือราในช่วงฤดูฝนนั่นเอง และอาจจะพบเจอกลิ่นเหม็นอับจากหลายที่ แต่สำหรับรา เมื่อกลิ่นยังคงอยู่แสดงว่ายังสามารถจัดการได้ แต่ถ้าราขึ้นออกมาให้เห็นแล้วละก็ แสดงว่ามันได้เจริญเติบโตไปมากแล้ว ในการประเมินราคาสินค้าแบรนด์ ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะไม่เพียงแต่ตรวจสอบด้วยตาเปล่าเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการดมกลิ่นเบา ๆ ด้วย การประเมินโดยใช้ “ประสาทสัมผัสทั้งห้า” (ยกเว้นการรับรสชาติ) ราที่เกาะบนหนังนูบัค จะมีกลิ่นเฉพาะมาก ซึ่งสามารถสังเกตได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ เลยด้วย (บางครั้งเพียงแค่มีกลิ่นเหม็นอับก็ทำให้การประเมินราคาต่ำลง) หากท่านใดกำลังกังวลอยู่ ควรดมกลิ่นที่ส่วนจับ หรือฐานของสินค้าบ่อย ๆ เพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง

3 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรา

การจัดเก็บและวิธีการจัดเก็บเป็นจุดสำคัญ

คงมีน้อยคนที่ใช้กระเป๋าแบรนด์อย่าง Louis Vuitton ทุกวัน ส่วนใหญ่จะมีการเก็บรักษาไว้ในตู้และหยิบมาใช้บ้างครั้งคราว ดังนั้นระยะเวลาในการเก็บรักษาจะนานกว่าการใช้งานจริง ซึ่ง การเก็บรักษาในที่ไหนและอย่างไรจึงเป็นเรื่องสำคัญ และควรคำนึกถึงมากกว่าที่เราคิด ข้อสรุปในการเก็บรักษาแบรนด์ โดยคำนึงถึงความชื้นเป็นหลัก คือ 1. เก็บรักษาในที่ที่ไม่มีความชื้น หรือพื้นที่แห้ง 2. เก็บรักษาในที่ที่ป้องกันสิ่งสกปรกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อแรกที่ควรคำนึงถึงอย่างมาก และเป็นตัวกำหนดว่าราจะเกิดขึ้นหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การเก็บรักษากระเป๋าแบรนด์ในระยะยาว มักจะใส่ในกล่อง หรือเก็บในที่มืดเพื่อป้องกันการเสียรูปทรง และผลกระทบจากรังสี UV แต่หากปิด “สนิท” มากเกินไปจะกลายเป็นแหล่งสะสมความชื้น ทำให้เมื่อเปิดอีกครั้งหลังจากหลายเดือนจะมีกลิ่นเหม็นอับ และมีราเกิดขึ้นได้ ถึงแม้จะดูย้อนแย้ง แต่สามารถสรุปได้ว่า “ป้องกันสิ่งสกปรก และรังสี UV โดยการห่อหุ้ม แต่ต้องระวังความชื้นที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย” เช่น หากเก็บกระเป๋าแบรนด์ในกล่อง ควรเปิดฝากล่องเล็กน้อยด้วย เพื่อให้มีอากาศถ่ายเท นอกจากนี้ ควรนำออกจากกล่อง หรือถุงเป็นระยะ ๆ เพื่อตากลมในที่ร่ม และลดความชื้นพร้อมกับการฆ่าเชื้อไปในตัว หากทำตามนี้ ความเสี่ยงในการเกิดราจะลดลงอย่างมาก

การรักษาหลังการใช้งาน

เมื่อพูดถึงการป้องกันรา การเก็บรักษาแบรนด์สินค้าอย่างถูกต้องหลังการใช้งานนั้น แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นสาเหตุของการเกิดรา เพราะว่านอกจากความชื้นแล้ว ยังมี “เชื้อรา” ที่เป็นปัจจัยสำคัญด้วยหลังจากที่ใช้กระเป๋าแบรนด์บ่อยๆ จะมีสิ่งสกปรกติดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ และเชื้อราจะอยู่ในสิ่งสกปรกนั้น เมื่อมีความชื้นก็จะเจริญเติบโตกลายเป็นรา ดังนั้นการทำความสะอาดสิ่งสกปรก และเชื้อราก่อนการเก็บรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าอาจจะไม่เห็นสิ่งสกปรก แต่การ “เช็ดด้วยผ้าแห้ง” ก่อนการเก็บรักษาจะทำให้สภาพของกระเป๋าได้ดีขึ้นในระยะยาว การเช็ดทั้งใบอาจใช้เวลานาน แต่การเน้นที่ส่วนที่มีแนวโน้มจะเกิดรา เช่น “ส่วนที่จับ” และ “ส่วนฐาน” ซึ่งมักใช้หนังนูบัคที่อ่อนแอต่อราจะช่วยลดความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ การทำความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะ เช่น หมุด และปุ่ม ซึ่งอาจมีสิ่งสกปรกติดจากนิ้วมือ และกลายเป็นสาเหตุของราก็เป็นสิ่งที่ควรทำด้วย

การป้องกันราที่เกิดขึ้นด้านในของผลิตภัณฑ์หนัง

ในกรณีกระเป๋าหนังแบรนด์อย่าง Louis Vuitton จุดที่รามักจะเกิดขึ้นบ่อยคือ “ด้านใน” เนื่องจากมีความชื้นสะสมได้ง่ายและสิ่งสกปรกที่เข้าไปในกระเป๋านั้นทำความสะอาดได้ยาก แม้ว่าด้านในของกระเป๋าจะสกปรกยากกว่าด้านนอก แต่ถ้ามีสิ่งสกปรกจากของที่ใส่เข้าไปแล้วก็จะทำความสะอาดได้ยาก ดังนั้นจึงควรเน้นที่การกำจัด “ความชื้น” แทนการกำจัดสิ่งสกปรก วิธีหนึ่งที่เป็นที่รู้จักและได้ผลดีคือ “การใส่กระดาษเข้าไปด้านในก่อนเก็บรักษา เพื่อดูดซับความชื้น” แต่หากต้องการเก็บรักษาระยะยาว ควรใช้กระดาษขาวแทนหนังสือพิมพ์ เนื่องจากสิ่งสกปรกหรือสีของหนังสือพิมพ์อาจซึมไปยังกระเป๋าได้ การใส่กระดาษไม่เพียงช่วยเรื่องความชื้นเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการเสียรูปและรักษารูปทรงของกระเป๋าให้คงที่ด้วย การดูแลรักษาตามที่กล่าวมาอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายบ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับราคาหรือมูลค่าของสินค้าที่ซื้อมา การป้องกันความเสียหายจากราได้ถือว่าคุ้มค่า ขอบคุณที่อ่านครับ/ค่ะ

ผู้เขียนคอลัมน์

author Yasui Osamu นักเขียนด้านการรีไซเคิล

สำเร็จการศึกษาจากภาควิชามนุษยสัมพันธ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต ต่อมาเริ่มดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 1999 ได้มีการเปิดสถาบันกวดวิชา บริษัทจัดหาคู่ และร้านค้ารีไซเคิลครบวงจรในจังหวัดคานางาวะ และได้ขยายไปถึง 30 สาขา ภายในจังหวัด ซึ่งภายหลังได้ขายกิจการไป และปัจจุบันผันตัวมาทำงานด้าน Cross-Border E-commerce และเป็นนักเขียน คอลัมนิสต์ อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมอีกด้วย

สำหรับการซื้อสินค้า Luxury ราคาแพง,
ปล่อยให้ร้าน Jewel Cafe

Jewel Cafe banner

Jewel Cafe ครองอันดับ
1 ด้านความพึงพอใจในการใช้บริการของลูกค้า

  • ราคาสูงจนน่าตกใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เครือข่ายกระจาย!
  • ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมด้วยร้านค้ากว่า 250 แห่ง!
  • บริการทำความสะอาดเครื่องประดับฟรีที่หลายคนชื่นชอบ!
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมการยกเลิกไม่ว่าจะซื้อด้วยวิธีใด!
บทความนี้ยังถูกอ่าน!

ค้นหาร้าน JEWEL CAFÉ ใกล้บ้านคุณ

เรามีพนักงานหญิงที่มีความรู้ด้านผลิตภัณฑ์มากมายและมีขั้นตอนการประเมินที่รวดเร็ว เพียง 10 นาทีจากเวลาที่คุณมาที่ร้านเพื่อชำระเงิน! ถ้าคุณสนใจ ในการประเมินและให้คำปรึกษาอย่างรวดเร็ว เราขอแนะนำให้ไปที่ร้านค้าของเรา!

ค้นหาร้านค้า
ค้นหาร้านค้าใกล้คุณ